top of page

ระบบไฮดรอลิกและนิวเมติกส์ต่างกันยังไง เหมาะกับงานแบบไหน

  • Greenergy
  • 3 วันที่ผ่านมา
  • ยาว 2 นาที

อัปเดตเมื่อ 3 วันที่ผ่านมา

ree

ในกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม การขับเคลื่อนเครื่องจักรให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งเทคโนโลยีการส่งถ่ายกำลังที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดคงหนีไม่พ้นระบบไฮดรอลิกและระบบนิวเมติกส์ แม้ทั้งสองระบบจะมีเป้าหมายเดียวกันคือการเปลี่ยนพลังงานให้เป็นการเคลื่อนที่ แต่กลับมีกลไกการทำงาน คุณสมบัติ และความเหมาะสมในการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บทความนี้ GREENERGY จะพาคุณไปเจาะลึกความแตกต่าง เพื่อให้คุณเลือกใช้งานได้ถูกประเภทและบริหารจัดการต้นทุนพลังงานได้อย่างคุ้มค่าที่สุด


ระบบไฮดรอลิก (Hydraulic System) คืออะไร


ระบบไฮดรอลิก (Hydraulic System) คือ ระบบส่งถ่ายกำลังที่อาศัย "ของเหลว" (ส่วนใหญ่นิยมใช้น้ำมันไฮดรอลิก) เป็นตัวกลางในการส่งผ่านแรงดันเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนหรือการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ จุดเด่นสำคัญที่ทำให้ระบบนี้เป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมหนักคือ ความสามารถในการสร้างพละกำลังมหาศาล การควบคุมที่แม่นยำ และความทนทานต่อการใช้งานหนัก


หลักการทำงานของระบบไฮดรอลิก

หลักการพื้นฐานของระบบไฮดรอลิก อ้างอิงจากกฎของปาสคาล (Pascal’s Law) ที่กล่าวว่าเมื่อมีการเพิ่มความดัน ณ จุดใดจุดหนึ่งในของเหลวที่อยู่นิ่งในภาชนะปิด ความดันนั้นจะถูกส่งผ่านไปยังทุกๆ จุดในของเหลวอย่างเท่าเทียมกัน โดยระบบจะใช้ปั๊มเพื่ออัดน้ำมันให้มีความดันสูง ส่งผ่านวาล์วควบคุมไปยังกระบอกสูบหรือมอเตอร์ไฮดรอลิกเพื่อเปลี่ยนพลังงานของไหลให้เป็นพลังงานกลในการยก ดัน หรือหมุนชิ้นงานที่มีน้ำหนักมาก


องค์ประกอบหลักในระบบไฮดรอลิก

เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างสมบูรณ์ จำเป็นต้องมีองค์ประกอบหลักดังนี้:

  • Power Pack (ชุดต้นกำลัง): ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและปั๊มไฮดรอลิก ทำหน้าที่สร้างการไหลและความดัน

  • Actuators (อุปกรณ์ทำงาน): เช่น กระบอกสูบ (Cylinder) หรือมอเตอร์ไฮดรอลิก ที่เปลี่ยนแรงดันเป็นแรงกล

  • Valves (วาล์วควบคุม): ใช้ควบคุมทิศทาง ความดัน และอัตราการไหลของน้ำมัน

  • Hydraulic Fluid (น้ำมันไฮดรอลิก): ตัวกลางในการส่งถ่ายกำลังและหล่อลื่น

  • Tank/Reservoir (ถังพักน้ำมัน): สำหรับกักเก็บและระบายความร้อนของน้ำมัน


ระบบนิวเมติกส์ (Pneumatic System) คืออะไร


ระบบนิวเมติกส์ (Pneumatic System) คือ ระบบส่งกำลังที่อาศัย "อากาศอัด" (Compressed Air) เป็นตัวกลางในการทำงาน โดยการอัดอากาศให้มีความดันสูงแล้วส่งไปตามท่อเพื่อดันให้อุปกรณ์ทำงานเคลื่อนที่ ระบบนี้นิยมใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องการความรวดเร็ว ความสะอาด และความปลอดภัยสูง เช่น อุตสาหกรรมอาหาร ยา และอิเล็กทรอนิกส์


หลักการทำงานของระบบนิวเมติกส์

การทำงานเริ่มจากการใช้เครื่องอัดอากาศ (Air Compressor) ดูดอากาศจากภายนอกเข้ามาแล้วอัดให้มีความดันสูงขึ้น จากนั้นอากาศจะถูกส่งผ่านชุดปรับปรุงคุณภาพลม (เพื่อกรองฝุ่นและแยกน้ำ) ก่อนจะส่งผ่านวาล์วควบคุมไปยังกระบอกลม เพื่อดันให้ก้านสูบเคลื่อนที่ ข้อแตกต่างสำคัญคืออากาศสามารถยุบตัวได้ (Compressible) ทำให้การควบคุมความเร็วและแรงอาจไม่นิ่งเท่าของเหลว แต่มีความรวดเร็วในการตอบสนองสูงกว่า


องค์ประกอบหลักในระบบนิวเมติกส์

โครงสร้างของระบบนิวเมติกส์จะคล้ายคลึงกับไฮดรอลิก แต่เปลี่ยนตัวกลางเป็นอากาศ:

  • Air Compressor (เครื่องอัดอากาศ): หัวใจสำคัญในการผลิตลมที่มีแรงดัน

  • Air Treatment Unit (ชุดกรองลม): ประกอบด้วยตัวกรอง (Filter), ตัวปรับแรงดัน (Regulator), และตัวจ่ายน้ำมันหล่อลื่น (Lubricator) หรือ FRL Unit

  • Control Valves (วาล์วควบคุม): ควบคุมทิศทางลม

  • Actuators (อุปกรณ์ทำงาน): เช่น กระบอกลมและมอเตอร์ลม


เปรียบเทียบข้อดี-ข้อจำกัดระบบไฮดรอลิก vs ระบบนิวเมติกส์


การตัดสินใจเลือกใช้งานต้องพิจารณาจากลักษณะของงานเป็นหลัก โดยเราสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของทั้งสองระบบได้ใน 4 มิติสำคัญ ดังนี้


ด้านพละกำลังและแรง

ในด้านนี้ระบบไฮดรอลิกชนะขาดลอย เนื่องจากน้ำมันไม่สามารถยุบตัวได้และระบบทำงานที่ความดันสูงมาก (1,000-5,000 psi หรือมากกว่า) จึงเหมาะกับงานยกของหนัก เครื่องปั๊มขึ้นรูปโลหะ หรือเครื่องจักรกลหนัก ในขณะที่ระบบนิวเมติกส์ทำงานที่ความดันต่ำกว่า (80-100 psi) จึงให้แรงน้อยกว่า เหมาะกับงานหยิบจับ ชิ้นส่วนเล็กๆ หรือการประกอบอัตโนมัติ


ด้านความเร็วและความแม่นยำ

ระบบนิวเมติกส์ มีจุดเด่นเรื่องความเร็วในการทำงานสูงมาก (High Speed) เหมาะกับงานที่ต้องการรอบการทำงานถี่ๆ แต่ความแม่นยำในการหยุดตำแหน่งอาจด้อยกว่าเนื่องจากการยุบตัวของลมอัด ส่วนระบบไฮดรอลิกแม้จะเคลื่อนที่ช้ากว่า แต่ให้ความนุ่มนวล สม่ำเสมอ และสามารถควบคุมตำแหน่งหยุดหรือความเร็วภายใต้ภาระโหลดที่เปลี่ยนแปลงได้แม่นยำกว่ามาก


ด้านความสะอาดและความปลอดภัย

ระบบนิวเมติกส์ มีความสะอาดสูง หากเกิดการรั่วไหลก็เป็นเพียงอากาศออกมา ไม่เลอะเทอะ จึงเป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรมอาหารและยา นอกจากนี้ยังปลอดภัยในพื้นที่ไวไฟเพราะไม่ก่อให้เกิดประกายไฟ ส่วนระบบไฮดรอลิกมีความเสี่ยงเรื่องน้ำมันรั่วไหลซึ่งอาจทำให้พื้นสกปรก ลื่น หรือเสี่ยงต่อการติดไฟได้หากอยู่ใกล้ความร้อนสูง


ด้านต้นทุนการติดตั้งและบำรุงรักษา

โดยทั่วไประบบนิวเมติกส์มีต้นทุนอุปกรณ์และการติดตั้งเริ่มต้นที่ถูกกว่า โครงสร้างไม่ซับซ้อน บำรุงรักษาง่าย ในขณะที่ระบบไฮดรอลิกมีต้นทุนอุปกรณ์สูงกว่า และต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันและกรองน้ำมันตามระยะเวลา ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่สูงกว่า


ผลกระทบของระบบไฮดรอลิกและนิวเมติกส์ต่อการใช้พลังงานในโรงงาน

ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้ระบบใด สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของโรงงานที่ใช้ระบบ Factory Automation ก็คือ "ต้นทุนพลังงานไฟฟ้า" ในการขับเคลื่อนระบบเหล่านี้ ซึ่งมักเป็นสัดส่วนที่สูงมากในบิลค่าไฟของโรงงาน


การใช้พลังงานของระบบไฮดรอลิก (ปั๊มไฟฟ้า)

ระบบไฮดรอลิก ต้องใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ในการขับเคลื่อนปั๊มน้ำมัน ซึ่งมักจะต้องทำงานตลอดเวลาในขณะที่เครื่องจักรทำงาน แม้ในช่วงที่ไม่มีโหลด (Idling) มอเตอร์ก็ยังกินไฟอยู่ส่วนหนึ่ง หากไม่มีระบบ Inverter หรือ Servo Pump มาช่วยจัดการ อาจเกิดการสูญเสียพลังงานมหาศาล


การใช้พลังงานของระบบนิวเมติกส์ (Air Compressor)

เป็นที่ทราบกันดีว่าเครื่องอัดอากาศ (Air Compressor) คือหนึ่งในอุปกรณ์ที่กินไฟที่สุดในโรงงาน การเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นลมอัดมีประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำ (พลังงานส่วนใหญ่สูญเสียไปเป็นความร้อน) ดังนั้นการใช้ระบบนิวเมติกส์อย่างไม่มีประสิทธิภาพจะส่งผลกระทบต่อค่าไฟโดยตรง


จุดรั่วไหลและการสูญเสียพลังงานในระบบ

ปัญหาสำคัญของทั้งสองระบบคือการรั่วไหล (Leakage) การรั่วของลมอัดในระบบนิวเมติกส์นั้นมองไม่เห็นแต่ทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักขึ้นโดยเปล่าประโยชน์ ส่วนการรั่วในระบบไฮดรอลิกทำให้เสียแรงดันและต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการรักษาแรงดันให้คงที่


โซลูชันพลังงานสำหรับโรงงานที่ใช้ระบบเหล่านี้

เพื่อควบคุมต้นทุนการผลิตให้แข่งขันได้ โรงงานอุตสาหกรรมจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ในการจัดการพลังงานสำหรับระบบส่งกำลังเหล่านี้


การติดตั้งโซล่าเซลล์เพื่อรองรับเครื่องจักรที่ใช้พลังงานสูง

เนื่องจากโรงงานมักเดินเครื่องจักรในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่ระบบโซล่าเซลล์ (Solar Rooftop) ผลิตไฟฟ้าได้สูงสุด การติดตั้งโซล่าเซลล์จึงเป็นการนำไฟฟ้าฟรีจากแสงอาทิตย์มาจ่ายให้กับ Air Compressor หรือ Hydraulic Pump โดยตรง ช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าในช่วง On-Peak ได้อย่างมีนัยสำคัญ และช่วยลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลงได้ทันที


การใช้ Energy Management System เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

การนำระบบจัดการพลังงาน (EMS) มาใช้ร่วมกับโซล่าเซลล์ จะช่วยให้โรงงานสามารถตรวจสอบการใช้พลังงานของเครื่องจักรแต่ละตัวได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้วิเคราะห์ได้ว่าปั๊มตัวไหนกินไฟผิดปกติ หรือช่วงเวลาไหนที่เกิดการใช้ลมมากเกินความจำเป็น เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและซ่อมบำรุงที่ตรงจุด


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ระบบไฮดรอลิกส์ หรือนิวเมติกส์ประหยัดพลังงานมากกว่ากัน

ในแง่ของการส่งผ่านพลังงานระบบไฮดรอลิกมีประสิทธิภาพสูงกว่า แต่ระบบนิวเมติกส์มักมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นถูกกว่า หากคำนึงถึงค่าไฟระยะยาว ไฮดรอลิกมักใช้พลังงานคุ้มค่ากว่าในงานโหลดหนัก


อุตสาหกรรมอาหารและยาควรเลือกระบบใด

ควรเลือกระบบนิวเมติกส์เป็นหลัก เนื่องจากใช้อากาศที่สะอาด ไม่มีความเสี่ยงจากการปนเปื้อนของน้ำมันไฮดรอลิกในกระบวนการผลิต


การติดตั้งโซล่าเซลล์ช่วยลดค่าไฟจาก Air Compressor ได้จริงหรือ

ช่วยได้จริงและเห็นผลชัดเจนมาก เพราะปั๊มลมมักทำงานหนักในช่วงกลางวัน การใช้ไฟจากโซล่าเซลล์มาทดแทนไฟจากการไฟฟ้าจะช่วยลดต้นทุนพลังงานส่วนนี้ได้ทันที


สรุปบทความ

การเลือกระหว่างระบบไฮดรอลิกและระบบนิวเมติกส์ขึ้นอยู่กับโจทย์ของงาน ทั้งในเรื่องของแรง ความเร็ว ความสะอาด และงบประมาณ แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกระบบใด ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงเสมอคือ "ต้นทุนพลังงาน" ที่จะตามมาตลอดอายุการใช้งาน การวางแผนด้านพลังงานควบคู่ไปกับการเลือกเครื่องจักร โดยเฉพาะการนำพลังงานสะอาดอย่างโซล่าเซลล์เข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระค่าไฟฟ้า จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้โรงงานของคุณลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

หากคุณต้องการปรึกษาเรื่องการลดต้นทุนพลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม บริษัท กรีนเนอร์ยี่ ประเทศไทย จำกัด มีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษา ออกแบบ รับติดตั้งโซล่าเซลล์และดูแลตลอดอายุการใช้งาน ท่านสามารถติดต่อสอบถาม หรือขอคำปรึกษาได้ตามช่องทางดังนี้


 
 
 
bottom of page