Factory Automation คืออะไร ยกระดับโรงงานสู่ Smart Factory ที่ยั่งยืน
- Greenergy
- 4 ก.ย.
- ยาว 2 นาที

การปรับตัวสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ทำให้ Factory Automation หรือ "ระบบอัตโนมัติในโรงงาน" กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ภาคการผลิตทั่วโลกต้องมุ่งไป แต่ Factory Automation ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของหุ่นยนต์ในสายการผลิตเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการสร้างระบบการทำงานอัจฉริยะที่ส่งผลต่อทุกมิติของธุรกิจ รวมถึงการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน บทความนี้ GREENERGY จะพาไปเจาะลึกว่าเทคโนโลยีนี้คืออะไร และจะทำงานร่วมกับระบบพลังงานสะอาดเพื่อสร้างโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) ที่สมบูรณ์แบบได้อย่างไร
Factory Automation คืออะไร และสำคัญอย่างไรในยุค Industry 4.0
Factory Automation คือ การนำเทคโนโลยีและระบบควบคุมต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์, หุ่นยนต์, และซอฟต์แวร์ เข้ามาบริหารจัดการและสั่งการกระบวนการผลิตและเครื่องจักรในโรงงานให้ทำงานได้ด้วยตัวเองโดยอาศัยการควบคุมจากมนุษย์น้อยที่สุด เป้าหมายหลักคือการเพิ่มประสิทธิภาพ, ความแม่นยำ, และความรวดเร็วในการผลิต ในบริบทของ Industry 4.0 นั้น Factory Automation มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นรากฐานของการสร้าง "โรงงานอัจฉริยะ" (Smart Factory) ที่ระบบต่างๆ สามารถเชื่อมต่อสื่อสารและวิเคราะห์ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ เพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
ประเภทของ Factory Automation
Factory Automation ไม่ใช่โซลูชันที่มีเพียงรูปแบบเดียว แต่สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักตามระดับความยืดหยุ่นของกระบวนการผลิต เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะของอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน
Fixed Automation (ระบบอัตโนมัติแบบตายตัว)
เป็นระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานเฉพาะอย่างเพียงอย่างเดียว แต่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทำให้มีปริมาณการผลิตสูงมาก (High Volume) ระบบนี้เหมาะสำหรับสายการผลิตสินค้าที่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ เช่น โรงงานประกอบรถยนต์, โรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, หรือโรงงานบรรจุขวดเครื่องดื่ม ที่ต้องการความเร็วและปริมาณเป็นหัวใจสำคัญ
Programmable Automation (ระบบอัตโนมัติที่ตั้งโปรแกรมได้)
เป็นระบบที่สามารถ reprogramming หรือตั้งค่าการทำงานใหม่เพื่อผลิตสินค้าที่มีรูปแบบหรือคุณสมบัติแตกต่างกันได้ในกระบวนการผลิตแบบ Batch Production เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าหลากหลายแต่มีปริมาณการผลิตในแต่ละรุ่นปานกลางถึงสูง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการทำงานของหุ่นยนต์อุตสาหกรรม (Industrial Robot) ที่สามารถเปลี่ยนโปรแกรมเพื่อเชื่อม, ประกอบ, หรือพ่นสีชิ้นส่วนที่ต่างกันได้
Flexible Automation (ระบบอัตโนมัติแบบยืดหยุ่น)
เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูงสุด สามารถผลิตสินค้าที่หลากหลาย (High Variety) ได้อย่างต่อเนื่องโดยมีเวลาในการปรับเปลี่ยนกระบวนการ (Changeover Time) น้อยมากหรือแทบไม่มีเลย ระบบนี้มักถูกควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ทำให้สามารถเปลี่ยนไปผลิตชิ้นส่วนที่แตกต่างกันได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับอุตสาหกรรมที่ต้องการผลิตสินค้าตามความต้องการของลูกค้า (Customization)
ความท้าทายด้านพลังงานของ Factory Automation

แม้ว่า Factory Automation จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตได้อย่างมหาศาล แต่มันก็มาพร้อมกับความท้าทายด้านพลังงานที่ผู้ประกอบการต้องวางแผนรับมืออย่างรอบคอบ
การใช้พลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นและความต้องการกำลังไฟฟ้าสูงสุด (Peak Demand)
แน่นอนว่าหุ่นยนต์, เซ็นเซอร์, และระบบควบคุมต่างๆ ที่ทำงานเกือบตลอด 24 ชั่วโมง ย่อมส่งผลให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าโดยรวมของโรงงานสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ รูปแบบการใช้พลังงานยังมีความซับซ้อนและอาจเกิดความต้องการพลังงานสูงสุด (Peak Demand) ในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อโครงสร้างค่าไฟฟ้าของโรงงาน
ความต้องการแหล่งพลังงานที่มั่นคงและมีคุณภาพ
ระบบอัตโนมัติและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีความอ่อนไหวต่อปัญหาคุณภาพไฟฟ้าอย่างมาก เพียงแค่เกิดเหตุการณ์ไฟตก, ไฟกระชาก, หรือไฟฟ้าดับเพียงชั่วครู่ ก็อาจทำให้สายการผลิตทั้งหมดหยุดชะงัก สร้างความเสียหายต่อเครื่องจักรและผลผลิตมูลค่ามหาศาลได้ การมีแหล่งพลังงานที่มีเสถียรภาพและน่าเชื่อถือจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
โซลูชันพลังงานอัจฉริยะสำหรับ Factory Automation

เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านพลังงานและก้าวสู่การเป็นโรงงานอัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบ การผสานกลยุทธ์ Factory Automation เข้ากับโซลูชันด้านพลังงานจึงเป็นคำตอบที่ชาญฉลาดและยั่งยืนที่สุด
โซล่าเซลล์ แหล่งพลังงานสะอาดเพื่อรองรับระบบอัตโนมัติ
การติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคาโรงงาน (Solar Rooftop) คือการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดของตัวเอง เพื่อผลิตไฟฟ้าป้อนให้กับเครื่องจักรและระบบอัตโนมัติต่างๆ ในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งมักเป็นช่วงที่มีการผลิตและใช้ไฟฟ้าสูงสุด การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากสายส่ง แต่ยังเป็นการควบคุมต้นทุนค่าพลังงานที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดการพลังงาน (Energy Management) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด
ระบบจัดการพลังงาน หรือ EMS (Energy Management System) คือระบบ Automation สำหรับการบริหารจัดการพลังงานโดยเฉพาะ ทำหน้าที่ตรวจสอบ, ควบคุม, และวิเคราะห์การใช้พลังงานทั้งหมดแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถหาจุดที่เกิดการสูญเสียพลังงานและปรับปรุงกระบวนการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
การสร้าง Smart Factory ที่สมบูรณ์แบบและยั่งยืน
โรงงานอัจฉริยะที่แท้จริงไม่ได้มีแค่ Automation ในสายการผลิต แต่คือการบูรณาการที่สมบูรณ์แบบระหว่าง "ระบบการผลิตอัตโนมัติ" ที่ขับเคลื่อนด้วย "พลังงานสะอาดจากโซล่าเซลล์" และบริหารจัดการโดย "ระบบการจัดการพลังงานอัจฉริยะ (EMS)" ซึ่งนี่คือโมเดลของโรงงานแห่งอนาคตที่ทั้งทรงประสิทธิภาพ, ลดต้นทุน, และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ข้อดีของการใช้ Factory Automation

เมื่อมีการวางแผนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่ดีควบคู่กันไป การนำ Factory Automation มาใช้จะมอบประโยชน์กลับคืนมาสู่องค์กรอย่างมหาศาล
เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Increased Production Efficiency)
ระบบอัตโนมัติสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง, รวดเร็ว, และมีความแม่นยำสูงกว่ามนุษย์ ช่วยเพิ่มปริมาณผลผลิต (Throughput) ได้อย่างมหาศาล และลดจำนวนของเสีย (Defects) ในสายการผลิตที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error)
ลดต้นทุนการดำเนินงาน (Reduced Operational Costs)
ช่วยลดการพึ่งพาแรงงานในกระบวนการที่ต้องทำซ้ำๆ หรือมีความเสี่ยง ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนด้านบุคลากรได้ดียิ่งขึ้น และที่สำคัญ เมื่อใช้ร่วมกับโซล่าเซลล์และ EMS ก็จะสามารถควบคุมและลดต้นทุนด้านพลังงานซึ่งเป็นหนึ่งในต้นทุนหลักของโรงงานได้อย่างยั่งยืน
ยกระดับคุณภาพและความปลอดภัย (Enhanced Quality and Safety)
การใช้หุ่นยนต์ทำงานที่มีความอันตราย, หนัก, หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและสุขภาวะที่ดีให้แก่พนักงาน ในขณะเดียวกัน ความแม่นยำคงที่ของระบบยังช่วยให้สินค้าที่ผลิตออกมามีคุณภาพที่สม่ำเสมอและได้มาตรฐานสูงสุดทุกล็อตการผลิต
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Factory Automation
การลงทุนใน Factory Automation ใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะคืนทุน
โดยทั่วไป ระยะเวลาคืนทุน (ROI) อยู่ที่ประมาณ 2-5 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทอุตสาหกรรมและการใช้งาน แต่ประโยชน์ด้านประสิทธิภาพจะเริ่มเห็นผลได้ทันที
จำเป็นต้องติดตั้งโซล่าเซลล์ควบคู่กับ Factory Automation หรือไม่
ไม่จำเป็น แต่เป็นสิ่งที่แนะนำอย่างยิ่ง เพราะ Factory Automation ทำให้ค่าไฟสูงขึ้น การติดตั้งโซล่าเซลล์จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมต้นทุนพลังงานนั้น
จะเริ่มต้นนำ Factory Automation มาใช้ในโรงงานได้อย่างไร
ควรเริ่มต้นจากการทำ Process Audit เพื่อหาจุดที่คุ้มค่าที่สุดในการเริ่มทำ Automation และควรวางแผนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานควบคู่กันไป
สรุปบทความ
Factory Automation คือกลยุทธ์ที่จำเป็นสำหรับภาคอุตสาหกรรมในการก้าวสู่ยุคดิจิทัล การจะนำระบบอัตโนมัติมาใช้ให้ประสบความสำเร็จและยั่งยืนนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่การเลือกหุ่นยนต์หรือเครื่องจักร แต่ยังต้องมีการวางรากฐานด้านพลังงานที่มั่นคงและมีประสิทธิภาพควบคู่กันไป
การผสมผสานเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติเข้ากับพลังงานสะอาดจากโซล่าเซลล์และระบบการจัดการพลังงานอัจฉริยะ (EMS) คือพิมพ์เขียวของ Smart Factory แห่งอนาคต บริษัท กรีนเนอร์ยี่ ประเทศไทย จำกัด มีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้งและดูแลตลอดอายุการใช้งาน ท่านสามารถติดต่อสอบถาม หรือขอคำปรึกษาได้ตามช่องทางดังนี้
Facebook : https://www.facebook.com/Greenergyth
เว็บไซต์ : www.greenergythailand.com




ความคิดเห็น