top of page

Carbon Neutrality คืออะไร? เจาะลึกแนวทางสู่ความยั่งยืนที่ธุรกิจและคุณมีส่วนร่วมได้

ree

ในยุคที่ทั่วโลกต่างตื่นตัวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม เรามักได้ยินคำว่า "Carbon Neutrality" หรือ "ความเป็นกลางทางคาร์บอน" บ่อยขึ้นจากทั้งภาครัฐและองค์กรธุรกิจชั้นนำทั่วโลก คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงกระแส แต่คือเป้าหมายสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แล้วแท้จริงแล้ว Carbon Neutrality คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร และเราทุกคนจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจระดับโลกนี้ได้อย่างไร บทความนี้จาก GREENERGY จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุม เพื่อให้คุณเข้าใจและพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน


Carbon Neutrality คืออะไร

Carbon Neutrality คืออะไร

Carbon Neutrality คือสภาวะที่ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) สู่ชั้นบรรยากาศ มีค่าสมดุลเท่ากับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกดูดซับกลับคืนมาหรือถูกกำจัดออกไป พูดง่ายๆ คือการสร้างสมดุลให้กับการปล่อยคาร์บอนจนมีค่าสุทธิเป็น "ศูนย์" (Net Zero Carbon Emissions) โดยแนวคิดนี้จะมุ่งเน้นไปที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหลัก ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาจากกิจกรรมของมนุษย์มากที่สุด การบรรลุเป้าหมายนี้ทำได้ผ่านสองแนวทางหลักคือ การลดการปล่อยคาร์บอนจากต้นทางให้ได้มากที่สุด และการชดเชยส่วนที่เหลือด้วยวิธีต่างๆ


Carbon Neutrality vs. Net Zero แตกต่างกันอย่างไร?

หลายคนมักใช้คำว่า Carbon Neutrality และ Net Zero สลับกันไปมา แต่ในทางเทคนิคแล้ว สองคำนี้มีความหมายที่แตกต่างกันและสะท้อนถึงเป้าหมายที่มีความท้าทายไม่เท่ากัน การทำความเข้าใจในความแตกต่างนี้จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


Carbon Neutrality: ความเป็นกลางทางคาร์บอน

ดังที่กล่าวไปข้างต้น Carbon Neutrality จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างสมดุลของ "ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂)" เพียงอย่างเดียวเป็นหลัก โดยองค์กรหรือประเทศที่ประกาศเป้าหมายนี้จะพยายามลดการปล่อย CO₂ ของตนเอง และใช้กลไกการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offsetting) เช่น การซื้อคาร์บอนเครดิตจากการปลูกป่า เพื่อทำให้ยอดรวมการปล่อยและการดูดซับ CO₂ เท่ากับศูนย์


Net Zero: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

Net Zero เป็นเป้าหมายที่ครอบคลุมและท้าทายกว่า เพราะไม่ได้มองแค่ CO₂ แต่รวมถึง "ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases - GHGs)" ทุกชนิด ทั้งมีเทน (CH₄), ไนตรัสออกไซด์ (N₂O) และอื่นๆ เป้าหมายของ Net Zero คือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทุกชนิดจากกิจกรรมทั้งหมดให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (ใกล้เคียงศูนย์) และจะชดเชยเฉพาะส่วนที่หลงเหลืออยู่และไม่สามารถกำจัดได้จริงๆ เท่านั้น


ทำไม Carbon Neutrality จึงสำคัญต่อโลกและประเทศไทย?

ทำไม Carbon Neutrality

เป้าหมาย Carbon Neutrality มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะเป็นยุทธศาสตร์หลักในการชะลอภาวะโลกร้อนและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติที่บ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น หรือระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบสูง รัฐบาลได้ประกาศเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการประชุม COP26 โดยตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 เป้าหมายนี้จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นทิศทางที่ทุกภาคส่วนในประเทศต้องร่วมมือกัน


แนวทางการบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality ทำได้อย่างไร?

การเดินทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่ต้องอาศัยการผสมผสานกลยุทธ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 แนวทางหลักที่ต้องทำควบคู่กันไป เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม


การลดการปล่อยคาร์บอน (Carbon Reduction) จากต้นทาง

นี่คือหัวใจที่สำคัญที่สุดและควรทำเป็นอันดับแรก นั่นคือการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมต่างๆ ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัวอย่างเช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารและโรงงาน, การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางโดยหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะหรือยานยนต์ไฟฟ้า และที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนผ่านแหล่งพลังงานจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน


การชดเชยคาร์บอน (Carbon Offsetting) ด้วยคาร์บอนเครดิต

สำหรับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนที่ไม่สามารถลดได้จากการดำเนินงานปกติ สามารถใช้กลไกการชดเชยคาร์บอนเข้ามาช่วยได้ โดยการลงทุนในโครงการที่ช่วยดูดซับหรือลดการปล่อยคาร์บอนที่อื่น เช่น โครงการปลูกป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว หรือการสนับสนุนโครงการพลังงานหมุนเวียนต่างๆ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะก่อให้เกิด "คาร์บอนเครดิต" ที่สามารถนำมาใช้ชดเชยการปล่อยคาร์บอนขององค์กรได้


พลังงานแสงอาทิตย์: เครื่องมือสำคัญสู่ Carbon Neutrality ที่คุณเข้าถึงได้

พลังงานแสงอาทิตย์: เครื่องมือสำคัญสู่ Carbon Neutrality ที่คุณเข้าถึงได้

แม้เป้าหมาย Carbon Neutrality จะดูเป็นเรื่องใหญ่ระดับประเทศและระดับโลก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ และหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่ายที่สุดสำหรับทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจก็คือ "พลังงานแสงอาทิตย์" ซึ่ง GREENERGY เชื่อมั่นว่านี่คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ทุกคนบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้จริง


ลด Carbon Footprint ของบ้านและธุรกิจด้วยโซล่าเซลล์

การติดตั้งระบบโซล่าเซลล์บนหลังคาคือการลงมือลดการปล่อยคาร์บอนที่เห็นผลได้ชัดเจนที่สุด ทุกหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานแสงอาทิตย์ หมายถึงการลดความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ของบ้านหรือธุรกิจของคุณได้โดยตรงและมีนัยสำคัญ ทำให้คุณกลายเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของปัญหา


สร้างพลังงานสะอาดใช้เอง ลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล

การเป็นเจ้าของระบบโซล่าเซลล์เปรียบเสมือนการมีโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดเป็นของตัวเอง ช่วยให้คุณสามารถพึ่งพาตัวเองด้านพลังงานได้มากขึ้น ลดการพึ่งพิงไฟฟ้าจากสายส่งของการไฟฟ้าซึ่งส่วนใหญ่ยังคงผลิตมาจากก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน การสร้างพลังงานสะอาดใช้เองจึงเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมที่จับต้องได้ และยังช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงานในระยะยาวอีกด้วย


การลงทุนเพื่อความยั่งยืนที่ตอบโจทย์ด้าน ESG สำหรับองค์กร

สำหรับภาคธุรกิจ การลงทุนติดตั้งโซล่าเซลล์ไม่ได้เป็นเพียงการลดต้นทุนค่าไฟฟ้า แต่ยังเป็นการลงทุนที่ตอบโจทย์ด้าน ESG (Environmental, Social, and Governance) อย่างเต็มรูปแบบ การมีแหล่งพลังงานสะอาดเป็นของตัวเองช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กรที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ดึงดูดนักลงทุนและบุคลากรคุณภาพ และเตรียมความพร้อมสำหรับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขึ้นในอนาคต


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Carbon Neutrality (FAQ)


ในฐานะบุคคลธรรมดา จะมีส่วนช่วยสร้าง Carbon Neutrality ได้อย่างไรบ้าง?

สามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น ประหยัดการใช้พลังงานในบ้าน, เลือกใช้ขนส่งสาธารณะ, ลดการสร้างขยะ และวิธีที่ส่งผลกระทบมากที่สุดคือการพิจารณาติดตั้งโซล่าเซลล์เพื่อผลิตพลังงานสะอาดใช้เอง ซึ่งเป็นการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์โดยตรง


ธุรกิจจะได้ประโยชน์อะไรจากการมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality?

ธุรกิจจะได้รับประโยชน์หลายด้าน ทั้งการลดต้นทุนด้านพลังงานในระยะยาว, การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและข้อได้เปรียบทางการตลาด, การดึงดูดนักลงทุนและพนักงานรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และการเตรียมพร้อมรับมือกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต


การติดตั้งโซล่าเซลล์ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้มากแค่ไหน?

ช่วยลดได้โดยตรงและมีนัยสำคัญ การผลิตไฟฟ้า 1 หน่วยจากโซล่าเซลล์สามารถช่วยลดการปล่อย CO₂ ได้ประมาณ 0.5 - 0.6 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับการผลิตไฟฟ้าแบบเดิม ดังนั้น ยิ่งระบบมีขนาดใหญ่และผลิตไฟได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้มากขึ้นเท่านั้น


คาร์บอนเครดิต คืออะไร และเกี่ยวข้องกับการติดตั้งโซล่าเซลล์หรือไม่?

คาร์บอนเครดิต คือใบรับรองที่แสดงถึงการลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งสามารถซื้อขายได้ โครงการติดตั้งโซล่าเซลล์ โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ (Solar Farm) สามารถขึ้นทะเบียนเพื่อขอรับรองคาร์บอนเครดิตและนำไปขายให้กับองค์กรอื่นที่ต้องการชดเชยคาร์บอนได้


สรุปบทความ

จะเห็นได้ว่า Carbon Neutrality คือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และจำเป็นอย่างยิ่งต่ออนาคตของโลกและประเทศไทย ซึ่งต้องอาศัยการลงมือทำจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่เพียงแค่รอการเปลี่ยนแปลงจากภาครัฐหรือบริษัทขนาดใหญ่ การเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ถือเป็นหนึ่งในวิธีการที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่ายที่สุดที่ทั้งบุคคลและองค์กรสามารถเริ่มต้นได้ทันที

การติดตั้งโซล่าเซลล์ในวันนี้ ไม่ใช่แค่การลงทุนเพื่อลดค่าไฟ แต่คือการลงทุนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของตัวคุณเองและของโลกใบนี้ เริ่มต้นเส้นทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของคุณวันนี้ บริษัท กรีนเนอร์ยี่ ประเทศไทย จำกัด มีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้งและดูแลตลอดอายุการใช้งาน ท่านสามารถติดต่อสอบถาม หรือขอคำปรึกษาได้ตามช่องทางดังนี้ 


☎เบอร์ติดต่อ : ฝ่ายขาย 081-235-6832 


💬 Line : @greenergy


📨อีเมล : sales@greenergythailand.com 


🪪เว็บไซต์ : www.greenergythailand.com


 
 
 

ความคิดเห็น


bottom of page