CBAM คืออะไร? ผู้ส่งออกไทยต้องปรับตัวอย่างไร เมื่อ EU เริ่มเก็บภาษีคาร์บอน
- Greenergy
- 17 ก.ย.
- ยาว 2 นาที

ขณะที่โลกกำลังมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน สหภาพยุโรป (EU) ได้ออกกฎระเบียบใหม่ที่จะเปลี่ยนภูมิทัศน์การค้าโลกอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ "CBAM" (Carbon Border Adjustment Mechanism) ซึ่งเป็นมาตรการภาษีคาร์บอนที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าไปยังยุโรป และขณะนี้เส้นตายของการบังคับใช้เต็มรูปแบบก็ใกล้เข้ามาทุกที บทความนี้ GREENERGY จะพาไปเจาะลึกว่า CBAM คืออะไร, กระทบอุตสาหกรรมใดบ้าง, และผู้ประกอบการไทยจะใช้โซลูชันพลังงานสะอาดเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างไร
เจาะลึก Carbon Border Adjustment Mechanism หรือ CBAM คืออะไร?

Carbon Border Adjustment Mechanism หรือ CBAM คือ มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป หรือถ้าจะเรียกให้เข้าใจง่ายก็คือ "ภาษีคาร์บอน" สำหรับสินค้านำเข้า โดยผู้ที่นำเข้าสินค้าบางประเภทเข้ามาใน EU จะต้องซื้อ "ใบรับรอง CBAM" ให้มีจำนวนเทียบเท่ากับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตสินค้านั้น ๆ มาตรการนี้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเท่าเทียมทางการแข่งขันให้กับผู้ผลิตใน EU ที่ต้องแบกรับต้นทุนคาร์บอนอยู่แล้ว และป้องกันการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่หละหลวมกว่า
เป้าหมายของ CBAM คืออะไร? ทำไม EU ถึงต้องมีมาตรการนี้
เป้าหมายหลักที่สหภาพยุโรปต้องการแก้ไขด้วยมาตรการ CBAM คือปัญหาที่เรียกว่า "การรั่วไหลของคาร์บอน" (Carbon Leakage) ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่บริษัทใน EU อาจย้ายฐานการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนสูงไปยังประเทศอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดในยุโรป ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกโดยรวม ดังนั้น CBAM คือเครื่องมือที่จะทำให้ราคาสินค้านำเข้าสะท้อนต้นทุนคาร์บอนที่แท้จริง ไม่ว่าจะถูกผลิตจากที่ใดในโลกก็ตาม
อุตสาหกรรมไทยกลุ่มไหนบ้างที่ได้รับผลกระทบจาก CBAM ในระยะแรก

ในช่วงเริ่มต้น มาตรการ CBAM ได้มุ่งเป้าไปที่ 6 กลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐานที่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสูง ซึ่งล้วนเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศไทย
เหล็กและเหล็กกล้า
เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาลในกระบวนการหลอมและการผลิต ทำให้มี Carbon Footprint ที่สูง ผู้ส่งออกเหล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องไปยัง EU จะต้องรายงานและเตรียมรับมือกับต้นทุนส่วนเพิ่มนี้
อะลูมิเนียม
เช่นเดียวกับเหล็ก อุตสาหกรรมอะลูมิเนียมต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในปริมาณมากในการถลุงแร่และขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ ซึ่งไฟฟ้าที่ใช้นี้คือแหล่งปล่อยคาร์บอนทางอ้อมที่สำคัญซึ่งจะถูกนำมาคำนวณใน CBAM
ซีเมนต์
อุตสาหกรรมการผลิตซีเมนต์มีการปล่อยคาร์บอนสูงทั้งจากกระบวนการทางเคมีในการเผาปูน (Process Emissions) และจากการใช้พลังงานในเตาเผา (Energy Emissions) ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของมาตรการนี้
ปุ๋ย
กระบวนการผลิตปุ๋ยเคมี โดยเฉพาะปุ๋ยที่มีแอมโมเนียและกรดไนตริกเป็นส่วนประกอบ มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรงในปริมาณสูง ทำให้ผู้ส่งออกปุ๋ยไปยัง EU ได้รับผลกระทบเช่นกัน
ไฟฟ้า
แม้การส่งออกไฟฟ้าของไทยไปยัง EU จะไม่มีโดยตรง แต่การรวมหมวดหมู่นี้ไว้เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า EU ให้ความสำคัญกับที่มาของพลังงานไฟฟ้าเป็นอย่างยิ่ง
ไฮโดรเจน
เป็นเชื้อเพลิงแห่งอนาคตที่กำลังเติบโต โดย CBAM จะมุ่งเป้าไปที่ไฮโดรเจนที่ผลิตโดยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (Grey Hydrogen) เพื่อส่งเสริมการผลิตไฮโดรเจนด้วยพลังงานสะอาด (Green Hydrogen) แทน
ไทม์ไลน์สำคัญของ CBAM ที่ผู้ประกอบการต้องรู้
ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเข้าใจไทม์ไลน์ของมาตรการนี้อย่างชัดเจน เพราะขณะนี้เรากำลังอยู่ในช่วงท้ายของระยะเปลี่ยนผ่าน และกำลังจะเข้าสู่ช่วงบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ
ระยะเวลาช่วงเปลี่ยนผ่าน
ระยะเวลานี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 และจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ในช่วงนี้ ผู้ส่งออกมีหน้าที่เพียง "รวบรวมและรายงาน" ข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้าที่ส่งออกไปยัง EU ในแต่ละไตรมาส โดยยังไม่มีภาระผูกพันทางการเงินหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ
ระยะเวลาบังคับใช้เต็มรูปแบบ
เริ่มต้นวันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป ผู้นำเข้าใน EU จะต้องซื้อและส่งมอบ "ใบรับรอง CBAM" ตามปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้านั้น ๆ ซึ่งหมายความว่าต้นทุนคาร์บอนจะกลายเป็นต้นทุนทางการเงินที่เกิดขึ้นจริง หากผู้ส่งออกไทยไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตได้ ก็จะส่งผลให้ราคาสินค้าปลายทางสูงขึ้นและแข่งขันได้ยากขึ้น
โซล่าเซลล์คือกุญแจสำคัญในการลด Carbon Footprint เพื่อรับมือ CBAM

เมื่อ CBAM คือมาตรการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การปรับตัวที่ยั่งยืนและชาญฉลาดที่สุดสำหรับผู้ประกอบการไทยคือการ "ลดการปล่อยคาร์บอนจากต้นทาง" และการติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคาโรงงาน (Solar Rooftop) คือโซลูชันที่ทรงพลังและเห็นผลได้ชัดเจนที่สุด
ลดการปล่อยคาร์บอนทางอ้อมจากการใช้ไฟฟ้า
ปริมาณ Carbon Footprint ของผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มาจาก "การใช้ไฟฟ้า" ในกระบวนการผลิต ซึ่งเป็นการปล่อยคาร์บอนทางอ้อม (Scope 2 Emissions) การติดตั้งโซล่าเซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าสะอาดใช้เอง จะช่วยลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากโครงข่ายที่ผลิตจากฟอสซิลได้อย่างมหาศาล ซึ่งจะทำให้ตัวเลขการปล่อยคาร์บอนที่ต้องรายงานใน CBAM ลดลงโดยตรง
สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันด้วยพลังงานสะอาด
เมื่อการปล่อยคาร์บอนมีต้นทุนเป็นตัวเงิน โรงงานที่ใช้พลังงานสะอาดจะมีแต้มต่อที่สำคัญ โรงงานของคุณจะสามารถผลิตสินค้าที่มี "Carbon Footprint ต่ำ" ทำให้เสียค่าใช้จ่ายสำหรับใบรับรอง CBAM น้อยลง ส่งผลให้ราคาสินค้าในตลาดยุโรปสามารถแข่งขันได้ดีกว่าคู่แข่งที่ยังคงใช้พลังงานแบบเดิม
การลงทุนที่ตอบโจทย์ทั้งด้านต้นทุนและมาตรฐานสากล
การติดตั้งโซล่าเซลล์ไม่ได้เป็นเพียงการเตรียมพร้อมสำหรับ CBAM เท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนที่ช่วย "ลดต้นทุนค่าไฟฟ้า" ในปัจจุบันได้ทันที ถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ที่ช่วยแก้ปัญหาทั้งค่าใช้จ่ายในปัจจุบันและสร้างความพร้อมสำหรับมาตรฐานการค้าระหว่างประเทศในอนาคต
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ CBAM
H3 หากไม่ปฏิบัติตามกฎ CBAM จะเกิดอะไรขึ้น
ผู้นำเข้าใน EU จะถูกปรับ และอาจส่งผลให้ไม่สามารถนำสินค้าเข้า EU ได้ ทำให้ผู้ส่งออกไทยอาจสูญเสียคู่ค้าและตลาดไปในที่สุด
CBAM จะขยายขอบเขตไปยังสินค้าประเภทอื่นในอนาคตหรือไม่
ใช่ มีความเป็นไปได้สูงมาก สหภาพยุโรปมีแผนที่จะขยายขอบเขตของ CBAM ไปยังสินค้าอื่น ๆ เช่น เคมีภัณฑ์และพลาสติก ในอนาคต
การติดตั้งโซล่าเซลล์ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายจาก CBAM ได้จริงหรือ
ช่วยได้โดยตรงและมีนัยสำคัญ เพราะไฟฟ้าที่ใช้ในการผลิตคือส่วนสำคัญของ Carbon Footprint การใช้ไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์จะช่วยลดจำนวนใบรับรอง CBAM ที่ต้องซื้อ
ผู้ประกอบการต้องเริ่มเตรียมข้อมูลการปล่อยคาร์บอนตั้งแต่เมื่อไหร่
ผู้ประกอบการที่เข้าข่ายต้องรวบรวมและรายงานข้อมูลมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 และต้องเตรียมพร้อมสำหรับภาระผูกพันทางการเงินที่จะเริ่มในวันที่ 1 ม.ค. 2569
สรุปบทความ
Carbon Border Adjustment Mechanism หรือ CBAM คือ ความท้าทายครั้งสำคัญที่ผู้ส่งออกไทยไม่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไป ด้วยเส้นตายการบังคับใช้เต็มรูปแบบที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า การปรับตัวจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด การเตรียมความพร้อมโดยการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด เช่น การติดตั้งโซล่าเซลล์ ไม่เพียงแต่จะช่วยลดภาระต้นทุนจากภาษีคาร์บอนเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับธุรกิจของคุณให้มีมาตรฐานสากลและพร้อมแข่งขันในเวทีการค้าโลกที่ยั่งยืน
หากคุณคือผู้ประกอบการที่ต้องการเตรียมความพร้อมสำหรับมาตรการ CBAM และลดต้นทุนพลังงานของโรงงานอย่างยั่งยืน ทีมผู้เชี่ยวชาญของ GREENERGY พร้อมให้คำปรึกษาและออกแบบโซลูชันโซล่าเซลล์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ เพราะบริษัท กรีนเนอร์ยี่ ประเทศไทย จำกัด มีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษา ออกแบบ รับติดตั้งโซล่าเซลล์และดูแลตลอดอายุการใช้งาน ท่านสามารถติดต่อสอบถาม หรือขอคำปรึกษาได้ตามช่องทางดังนี้
เบอร์ติดต่อ : ฝ่ายขาย 081-235-6832
Line : @greenergy
อีเมล : sales@greenergythailand.com
เว็บไซต์ : www.greenergythailand.com
ที่ตั้ง: บริษัท กรีนเนอร์ยี่ (ประเทศไทย ) จำกัด เลขที่ 252/131-132(A-B) อาคารเมืองไทย-ภัทร คอมเพล็กซ์ ตึก บี ชั้นที่ 30 ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุเทพมหานคร 10310




ความคิดเห็น