top of page
ค้นหา

แผงโซล่าเซลล์มีกี่ขนาด มีกี่ประเภท เลือกอย่างไรให้เหมาะกับการใช้งาน

  • Greenergy
  • 18 เม.ย.
  • ยาว 2 นาที

แผงโซล่าเซลล์มีกี่ขนาด มีกี่ประเภท

หากคุณกำลังวางแผนติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ คงจะสงสัยกันอยู่แน่ ๆ ว่าแผงโซล่าเซลล์มีกี่ขนาด และควรเลือกประเภทไหนถึงจะเหมาะสมกับความต้องการใช้งาน เพราะการเลือกขนาดและประเภทแผงโซล่าเซลล์ที่เหมาะสมไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ยังช่วยให้คุณได้ระบบที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการผลิตพลังงานไฟฟ้า ซึ่งในบทความนี้ GREENERGY จะพาคุณมาทำความรู้จักว่า แผงโซล่าเซลล์มีกี่ขนาด ประเภทของแผงโซล่าเซลล์มีอะไรบ้าง เพื่อให้คุณได้แผงโซล่าเซลล์ที่เหมาะสมไปใช้งาน


แผงโซล่าเซลล์มีกี่ขนาด



แผงโซล่าเซลล์มีกี่ขนาด

การเลือกขนาดแผงโซล่าเซลล์ที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ของคุณ โดยทั่วไปแล้ว ขนาดของแผงโซล่าเซลล์จะวัดจากกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงสุด (วัตต์) ซึ่งมีหลากหลายขนาดให้เลือกตามความต้องการใช้ไฟฟ้า พื้นที่ติดตั้ง และงบประมาณ ดังนั้น เราไปดูกันดีกว่าว่า แผงโซล่าเซลล์มีกี่ขนาด


แผงโซล่าเซลล์ขนาด 5 วัตต์

แผงโซล่าเซลล์ขนาดเล็กที่สุดในท้องตลาดมักมีกำลังการผลิตประมาณ 5 วัตต์ มักมีขนาดประมาณ 25 × 20 เซนติเมตร และน้ำหนักไม่เกิน 1 กิโลกรัม แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีประโยชน์ในหลายด้าน

  • เหมาะสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่ใช้พลังงานต่ำ เช่น ไฟสัญญาณกระพริบ แสงไฟในสวน หรือไฟทางเดิน

  • มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา สามารถติดตั้งได้ง่ายแม้ในพื้นที่จำกัด

  • ราคาไม่สูง เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นศึกษาเรื่องโซล่าเซลล์

  • สามารถใช้ชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือแบตเตอรี่สำรอง


แผงโซล่าเซลล์ขนาด 10-17 วัตต์

แผงขนาด 10-17 วัตต์ มักมีน้ำหนักประมาณ 2-3 กิโลกรัมและมีขนาดใหญ่กว่าแผงขนาด 5 วัตต์ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนที่ยังต้องการความสะดวกสบายในการพกพา แต่ต้องการใช้พลังงานมากขึ้น

  • เหมาะสำหรับระบบไฟส่องสว่างภายนอกที่ต้องการความสว่างมากขึ้น เช่น โคมไฟสวน ไฟถนนขนาดเล็ก

  • สามารถใช้กับระบบปั๊มน้ำขนาดเล็กสำหรับน้ำพุหรือน้ำตกจำลองในสวน

  • ให้พลังงานเพียงพอสำหรับอุปกรณ์สื่อสารในพื้นที่ห่างไกล

  • สามารถนำมาต่อรวมกันเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสำหรับระบบขนาดเล็ก


แผงโซล่าเซลล์ขนาด 225-280 วัตต์

แผงขนาด 225-280 วัตต์ มีน้ำหนักประมาณ 15-20 กิโลกรัม และมีขนาดประมาณ 1.6 × 1 เมตร การติดตั้งควรมีโครงสร้างรองรับที่แข็งแรงและอาจต้องใช้ผู้ช่วยในการติดตั้ง เป็นขนาดที่นิยมใช้ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับบ้านพักอาศัยทั่วไป

  • เหมาะสำหรับระบบโซล่าเซลล์ขนาดกลาง ที่ต้องการพลังงานสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชิ้น

  • สามารถใช้กับปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับการเกษตรขนาดเล็กถึงขนาดกลาง

  • เหมาะกับการติดตั้งบนหลังคาบ้านทั่วไป โดยใช้หลายแผงรวมกัน

  • ให้พลังงานเพียงพอสำหรับตู้เย็นขนาดเล็ก พัดลม และไฟแสงสว่างในบ้าน


แผงโซล่าเซลล์ขนาด 500 วัตต์

แผงโซล่าเซลล์ขนาด 500 วัตต์เป็นแผงขนาดใหญ่ที่มีขนาดใหญ่ น้ำหนักประมาณ 25-30 กิโลกรัม และต้องการพื้นที่ติดตั้งมากกว่าแผงขนาดเล็ก การติดตั้งจำเป็นต้องใช้ทีมงานและอุปกรณ์ช่วยยก แต่ให้กำลังการผลิตสูง เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการพลังงานมาก

  • เหมาะกับบ้านพักอาศัยที่มีการใช้ไฟฟ้าสูง หรืออาคารสำนักงานขนาดเล็กถึงขนาดกลาง

  • สามารถรองรับการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชนิดพร้อมกัน เช่น:

    • หลอดไฟ LED ขนาด 5 วัตต์ ได้นานถึง 100 ชั่วโมง (ต่อหลอด)

    • โทรทัศน์ขนาด 60 วัตต์ ได้ประมาณ 8 ชั่วโมง

    • พัดลมขนาด 100 วัตต์ ได้ประมาณ 5 ชั่วโมง

    • เครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก (1000 วัตต์) ได้ประมาณ 30 นาที

  • เหมาะสำหรับระบบ Off-Grid ที่ต้องการพึ่งพาตัวเองได้ในด้านพลังงาน

  • เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการติดตั้งบนหลังคาโรงงานหรืออาคารพาณิชย์


โซล่าเซลล์แบบ Full Cell และ Half Cell ต่างกันยังไง

เทคโนโลยีการผลิตแผงโซล่าเซลล์ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในนวัตกรรมที่น่าสนใจคือการพัฒนาเซลล์แบบ Half Cell ซึ่งมีความแตกต่างจากแบบ Full Cell ดั้งเดิม การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้คุณเลือกแผงได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น


โซล่าเซลล์แบบ Full Cell 

เป็นเทคโนโลยีแบบดั้งเดิมที่ใช้เซลล์ขนาดปกติ โดยทั่วไปแผงโซล่าเซลล์จะมีจำนวนเซลล์ 60 หรือ 72 เซลล์ต่อแผง ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะต่อแบบอนุกรมกันเพื่อเพิ่มแรงดันไฟฟ้า แต่ละเซลล์จะมีแรงดันประมาณ 0.5-0.6 โวลต์ ทำให้แผงโซล่าเซลล์ทั้งแผงมีแรงดันรวมประมาณ 30-40 โวลต์


ข้อดีของแผง Full Cell:

  • เทคโนโลยีที่พิสูจน์แล้วว่ามีความเสถียร

  • ราคาถูกกว่าเนื่องจากกระบวนการผลิตที่ง่ายกว่า

  • มีความหลากหลายในท้องตลาด ทำให้หาอะไหล่ทดแทนได้ง่าย

อย่างไรก็ตาม แผง Full Cell มีข้อเสียสำคัญคือการพึ่งพาการทำงานของเซลล์ทั้งหมดในแผง เมื่อมีเงาบังบางส่วนของแผง (เช่น จากใบไม้ มูลนก หรือฝุ่น) จะส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าของทั้งแผงลดลงอย่างมาก เนื่องจากเซลล์ต่อกันแบบอนุกรม ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเซลล์ทั้งหมดในเส้นทางเดียวกัน


โซล่าเซลล์แบบ Half Cell 

เป็นนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาของแผง Full Cell โดยตัดเซลล์แต่ละเซลล์ออกเป็นครึ่งหนึ่ง ทำให้แผงที่เคยมี 60 เซลล์กลายเป็น 120 เซลล์ และแผง 72 เซลล์กลายเป็น 144 เซลล์ แล้วนำมาเชื่อมต่อกันด้วยวงจรที่ซับซ้อนขึ้น

ข้อดีของแผง Half Cell:

  • มีความทนทานต่อการบังเงาบางส่วน (Partial Shading) มากกว่า เนื่องจากแผงถูกแบ่งเป็นสองส่วน แม้ส่วนหนึ่งจะถูกบังเงา อีกส่วนหนึ่งยังคงทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

  • ลดความเสี่ยงในการเกิดจุดร้อน (Hot Spot) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แผงเสื่อมสภาพเร็ว

  • มีประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าโดยรวมสูงกว่า เนื่องจากความต้านทานไฟฟ้าลดลงและการสูญเสียพลังงานน้อยลง

  • อายุการใช้งานยาวนานกว่าเนื่องจากความเครียดทางไฟฟ้าที่น้อยกว่า

แผง Half Cell เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการติดตั้งในพื้นที่ที่อาจมีการบังเงาบางส่วน หรือต้องการประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าสูงสุด แม้จะมีราคาสูงกว่าแผง Full Cell แต่ในระยะยาวอาจคุ้มค่ากว่าเนื่องจากประสิทธิภาพที่สูงกว่าและอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า


แผงโซล่าเซลล์มีกี่ประเภท



แผงโซล่าเซลล์มีกี่ประเภท

นอกจากขนาดและเทคโนโลยีแล้ว การเลือกประเภทของแผงโซล่าเซลล์ให้เหมาะกับการใช้งานก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน แล้วแผงโซล่าเซลล์มีกี่แบบ แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง ไปดูกัน


1. แผงโซล่าเซลล์ชนิดโมโนคริสตัลไลน์ (Monocrystalline Silicon Solar Panels)

แผงโซล่าเซลล์ชนิดโมโนคริสตัลไลน์ผลิตจากผลึกซิลิคอนเชิงเดี่ยว (Single-crystal Silicon) ที่มีความบริสุทธิ์สูง เรียกว่า Monocrystalline Silicon หรือ Mono-Si สังเกตได้ง่ายจากลักษณะภายนอกที่มีสีดำสม่ำเสมอ และมักมีเซลล์ทรงแปดเหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยมที่มีมุมตัด 

เหมาะสำหรับการติดตั้งในพื้นที่จำกัด เช่น หลังคาบ้านในเมือง อาคารที่มีพื้นที่หลังคาน้อย หรือในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศร้อนจัด เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าที่สูงและการทนต่อความร้อนที่ดี


ข้อดีของแผงโซล่าเซลล์ชนิดโมโนคริสตัลไลน์

  • มีประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าสูงที่สุดในบรรดาแผงโซล่าเซลล์ชนิดต่าง ๆ (ประมาณ 17-22%)

  • ใช้พื้นที่น้อยกว่าในการผลิตไฟฟ้าปริมาณเท่ากัน ทำให้เหมาะกับพื้นที่จำกัด

  • มีอายุการใช้งานยาวนาน โดยทั่วไปมาพร้อมการรับประกัน 25 ปี

  • ให้ประสิทธิภาพดีแม้ในสภาวะแสงน้อย หรือในวันที่มีเมฆมาก

  • ทนความร้อนได้ดี ประสิทธิภาพลดลงน้อยเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น


ข้อเสียของแผงโซล่าเซลล์ชนิดโมโนคริสตัลไลน์

  • มีราคาสูงกว่าแผงประเภทอื่น เนื่องจากกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนและใช้วัสดุที่บริสุทธิ์สูง

  • ในกระบวนการผลิตมีการตัดมุมเซลล์ทำให้มีการสูญเสียวัสดุซิลิคอนบางส่วน

  • อาจไม่คุ้มค่าในกรณีที่มีพื้นที่ติดตั้งมากและไม่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ


2. แผงโซล่าเซลล์ชนิดโพลีคริสตัลไลน์ (Polycrystalline Silicon Solar Panels)

แผงโซล่าเซลล์ชนิดโพลีคริสตัลไลน์ผลิตจากการหลอมซิลิคอนหลายผลึกเข้าด้วยกัน จึงเรียกอีกชื่อว่า Multi-crystalline (Multi-Si) สังเกตได้จากสีน้ำเงินอมฟ้าที่มีลวดลายคล้ายกับแผ่นน้ำแข็งแตก และเซลล์มักเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสสมบูรณ์ไม่มีการตัดมุม

เหมาะสำหรับการติดตั้งในพื้นที่ที่มีแสงแดดสม่ำเสมอและมีพื้นที่เพียงพอ เช่น หลังคาบ้านในชนบท ฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโรงงานที่มีพื้นที่หลังคากว้าง เพราะสามารถให้ความคุ้มค่าในแง่ของต้นทุนต่อหน่วยพลังงานที่ผลิตได้


ข้อดีของแผงโซล่าเซลล์ชนิดโพลีคริสตัลไลน์

  • มีราคาถูกกว่าแบบโมโนคริสตัลไลน์ เนื่องจากกระบวนการผลิตที่ง่ายและประหยัดกว่า

  • ไม่มีการตัดมุมเซลล์ ทำให้ใช้วัสดุได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

  • มีความทนทานในสภาพอากาศร้อนได้ดี

  • เหมาะสำหรับการติดตั้งในพื้นที่ที่มีงบประมาณจำกัดแต่มีพื้นที่เพียงพอ


ข้อเสียของแผงโซล่าเซลล์ชนิดโพลีคริสตัลไลน์

  • มีประสิทธิภาพต่ำกว่าแบบโมโนคริสตัลไลน์ (ประมาณ 15-17%)

  • ต้องการพื้นที่มากกว่าในการผลิตไฟฟ้าปริมาณเท่ากัน

  • ประสิทธิภาพลดลงมากกว่าในสภาวะแสงน้อย

  • อายุการใช้งานอาจสั้นกว่าแบบโมโนคริสตัลไลน์เล็กน้อย


3. แผงโซล่าเซลล์ชนิดฟิล์มบางอะมอร์ฟัสซิลิกอน (Amorphous Silicon Solar Panels)

แผงโซล่าเซลล์ชนิดฟิล์มบางอะมอร์ฟัสซิลิกอน หรือที่เรียกว่า Thin-film Solar Panels เป็นเทคโนโลยีที่แตกต่างจากสองประเภทแรก โดยใช้การเคลือบชั้นบาง ๆ ของวัสดุกึ่งตัวนำลงบนวัสดุรองรับ เช่น แก้ว พลาสติก หรือโลหะ แผงประเภทนี้มีลักษณะเป็นแผ่นบางสีเข้มสม่ำเสมอ

เหมาะสำหรับการใช้งานเฉพาะทาง เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพา อาคารที่มีรูปทรงพิเศษ หรือพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านน้ำหนัก แต่มีพื้นที่ผิวมาก รวมถึงในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงมาก ๆ เนื่องจากประสิทธิภาพลดลงน้อยเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น


ข้อดีของแผงโซล่าเซลล์ชนิดฟิล์มบาง

  • มีความยืดหยุ่นสูง สามารถนำไปใช้กับพื้นผิวโค้งงอได้ (ในกรณีที่ใช้วัสดุรองรับที่ยืดหยุ่น)

  • น้ำหนักเบา ทำให้ติดตั้งง่ายและลดภาระบนโครงสร้างรองรับ

  • ทำงานได้ดีในสภาพแสงน้อยหรือแสงกระจาย

  • ประสิทธิภาพลดลงน้อยในสภาพอากาศร้อนจัด

  • ราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับการผลิตในปริมาณมาก

  • เหมาะสำหรับเวลาที่มีพื้นที่ใช้งานไม่จำกัด


ข้อเสียของแผงโซล่าเซลล์ชนิดฟิล์มบาง

  • มีประสิทธิภาพต่ำที่สุดในบรรดาแผงโซล่าเซลล์ทั้ง 3 ประเภท (ประมาณ 7-13%)

  • ต้องการพื้นที่มากกว่ามากในการผลิตไฟฟ้าปริมาณเท่ากัน

  • อายุการใช้งานสั้นกว่า มักมีการรับประกันไม่เกิน 10-15 ปี

  • เสื่อมสภาพเร็วกว่าในช่วงแรกของการใช้งาน


สรุปบทความ

การเลือกใช้โซล่าเซลล์ที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าในระยะยาว แต่ยังเป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดอีกด้วย หากคุณยังไม่แน่ใจว่าควรเลือกแผงโซล่าเซลล์แบบใด ขนาดเท่าไหร่ การปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญหรือบริษัทโซล่าเซลล์ที่มีประสบการณ์จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมที่สุด

การติดตั้งโซล่าเซลล์ที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยการวางแผนที่ดีและการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ระบบที่เหมาะสมกับการใช้งานและสภาพแวดล้อมที่ติดตั้งมากที่สุด ซึ่ง GREENERGY เป็นหนึ่งในเป็นบริษัทโซล่าเซลล์ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนา ออกแบบ ก่อสร้าง บำรุงรักษา และรับติดตั้งโซล่าเซลล์แบบครบวงจร 

อีกทั้งยังมีประสบการณ์และโครงการที่ประสบความสำเร็จมากมาย ทำให้คุณสามารถวางใจในการติดตั้งโซล่าเซลล์อย่างปลอดภัยกับเราได้อย่างแน่นอน โดยคุณสามารถสอบถามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ผ่านช่องทางดังนี้



 
 
 

Comments


bottom of page